วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

แร่ธาตุ กับกุ้งขาวไทย


แร่ธาตุ กับกุ้งขาวไทย โดย ดร.บุญรัตน์ ปทุมชาติ

และ ข้อมูลจากการบรรยายของผู้ทรงความรู้ในงานWAS ซึ่งจัดขึ้นในบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย และ ล่าสุดจัดที่เท็กซัส ประเทศอเมริกา 
พร้อมที่จะตามติดข้อมูลของแร่ธาตุแล้วหรือยังครับ ถ้าพร้อมแล้วก็เริ่มเลย
กุ้งทะเลไม่ว่าจะเป็นกุ้งกุลาดำหรือกุ้งขาวแวนนาไม ต่างก็เป็นสัตว์ที่มีความสัมพันธ์กับการลอกคราบ และ การปรับสมดุลในตัวเมื่อต้องอยู่ในสิ่งแวดล้อมต่างๆเพื่อความอยู่รอดและการเจริญเติบโต ในปัจจุบันเราพบว่าผู้เลี้ยงกุ้งทะเลบางรายมีปัญหากับการเลี้ยงกุ้งในบ่อของตัวเอง ดังนั้นการมองหาปัญหาที่เกิดจึงอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ หนึ่งในนั้นอาจเป็นปัญหาเรื่องของแร่ธาตุที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการและการปรับสมดุลย์แร่ธาตุของกุ้งที่เราปล่อยเลี้ยงก็เป็นได้
ความสำคัญของแร่ธาตุในการเลี้ยงกุ้งทะเล
กุ้งเป็นสัตว์ที่มีเปลือกเป็นโครงสร้างหุ้มร่างกาย กุ้งเจริญเติบโตได้ต้องลอกคราบ
สารอาหารที่กุ้งกินหรือได้รับกุ้งจะนำไปใช้เพื่อ 1.การดำรงชีวิต 2.สร้างเปลือก 3.การเจริญเติบโต และ 4.ใช้พัฒนาในระบบสืบพันธุ์
แร่ธาตุเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในโครงสร้างเปลือก และเนื้อเยื่อที่อ่อนนุ่ม (soft tissues) รวมทั้ง เป็นองค์ประกอบปัจจัยร่วม( cofactor) และ หรือตัวกระตุ้น(activators) ในเอนไซม์น้ำย่อย หลายชนิดของกุ้ง
แร่ธาตุที่ละลายได้ดี เช่น แคลเซียม(Ca), ฟอสฟอรัส(P), โซเดียม(Na), โปตัสเซียม( K), และ คลอไรด์(Cl) แร่ธาตุเหล่านี้จะทำหน้าที่ในระบบสมดุลเกลือแร่ระหว่างร่างกายสัตว์กับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งบำรุงรักษาความสมดุลความเป็นกรดด่างของร่างกายและความต่างศักย์ของเนื้อเยื่อของกุ้งเพื่อทำให้สามารถอยู่ได้อย่างปกติ โดยแร่ธาตุที่สำคัญหลายตัว เกษตรกรสามารถเพิ่มลงไปในน้ำที่เลี้ยงกุ้งได้โดยตรง แต่แร่ธาตุอีกหลายตัวก็ควรใส่เพิ่มในอาหารกุ้งอีกทั้งถ้าต้องการให้เหมาะสมจริงๆต้องใส่ตั้งแต่โรงงานผลิตอาหารกุ้งเลยดีที่สุด
หากจะมองให้ลึกลงไปในเรื่องแร่ธาตุ เราก็ต้องมีการตรวจหาค่าแร่ธาตุต่างๆในเลือดของกุ้งทะเลนั้นๆซึ่งเราก็ได้มีการตรวจโดยได้ค่าต่างๆ ดังตาราง(บุญรัตน์ ปทุมชาติ 2550)
ค่าแสดงการเปรียบเทียบไอออน( ions) ในเลือดกุ้ง ที่อยู่ในความเค็ม 30 พีพีที
แร่ธาตุ กุ้งขาว(มิลลิกรัมต่อลิตร) กับ กุ้งกุลาดำ (มิลลิกรัมต่อลิตร)
Na -โซเดียม 7,500 กับ8,000
Cl - คลอไรด์ 10,500 กับ 10,000
Ca - แคลเซียม 550 กับ 600
Mg - แมกนีเซียม 1,000 กับ 500
K - โปตัสเซียม 390 กับ 400
P - ฟอสฟอรัส 400 กับ 15
S - กำมะถัน หรือ ซัลเฟอร์ nd กับ 500
Mn - แมงกานีส 0.2 กับ 5
Cu - ทองแดง หรือ คอปเปอร์ 270 กับ 190
แร่ธาตุที่ต้องการมาก (Macro Mineral) 
แคลเซียม (Calcium ) = Ca แคลเซียมมีความสำคัญต่อการสร้างเปลือก, ความสมดุลกรดด่างภายในร่างกาย ความต่างศักย์ของเมมเบรน(เนื้อเยื่อ) การแข็งตัวของเลือด การหดตัวของกล้ามเนื้อ และการดูดซับวิตามิน บี12
กุ้ง สามารถดูดซึมแร่ธาตุบางชนิดจากน้ำ เช่น แคลเซียม อาจจะพบการดูดซึมทั้งหมดหรือบางส่วนจากน้ำ (Desshimaru et al., 1978) จึงไม่จำเป็นต้องเสริมแคลเซียมในอาหารเลี้ยงกุ้งขาว P. vannamei (Davis et al., 1993)
ฟอสฟอรัส (Phosphorus) = P
ฟอสฟอรัสมีความสำคัญต่อการสร้างเปลือก โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงการเริ่มต้น สมดุลกรดด่างภายในร่างกาย ความต่างศักย์ของเมมเบรน ขบวนการเมตาโบลิซึม กุ้งสามารถดูดซึมแร่ธาตุบางชนิดจากน้ำ เนื่องจากในแหล่งน้ำธรรมชาติมีปริมาณฟอสฟอรัสต่ำ (Boyd, 1981) การดูดซึมฟอสฟอรัสของสัตว์น้ำจากน้ำจืดหรือน้ำเค็มโดยทั่วไปยังมีไม่เพียงพอ ดังนั้นฟอสฟอรัสในอาหารสัตว์น้ำจึงมีความสำคัญ การที่กุ้งต้องการสูงมีผลมาจากเนื่องจากกุ้งมีความจำเป็นต้องใช้ฟอสฟอรัสในการสร้างเปลือกตลอดวงจรการลอกคราบ
นอกจากนี้ความต้องการของฟอสฟอรัสในกุ้งยังขึ้นอยู่กับปริมาณแคลเซียมอีกด้วย สัดส่วนที่เหมาะสมในการแนะนำคือ 1 ต่อ 1
โซเดียม(Na) โปตัสเซียม(K) และคลอไรด์(Cl) (Sodium. Potassium and Chloride)

โซเดียม,โปตัสเซียม และคลอไรด์ นับว่าเป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญต่อกระบวนทางสรีรวิทยาในแง่ของการช่วยปรับระบบสมดุลเกลือแร่ภายในร่างกาย(osmoregulation)ของกุ้ง นับว่าเป็นแร่ธาตุกลุ่มที่มีความเข้มข้นสูงมากชนิดหนึ่งในระบบเลือดกุ้ง
โซเดียมและโปตัสเซียม ในเลือดจะมีค่าต่ำกว่าน้ำภายนอกเล็กน้อย ทำหน้าที่รักษาสมดุลแรงดันออสโมติก (osmotic balance) ควบคู่ไปกับคลอไรด์ โดยมี โปแตสเซียม แมกนีเซียม และแคลเซียมเป็นตัวช่วยปรับอีกทีหนึ่ง โซเดียมและโปตัสเซียมข่วยรักษาสภาพความเป็นกรด-ด่างในร่างกายให้สมดุล และทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท
คลอไรด์ กุ้งสามารถสะสมได้มากกว่าโซเดียมและโปรแตสเซียม จะมีความเข้มข้นใกล้เคียงกับโซเดียม เป็นธาตุที่มีการเคลื่อนย้ายรวดเร็ว เมื่อน้ำภายนอกมีการเปลี่ยนแปลงไปคลอไรด์จะรักษาความดันออสโมติก คลอไรด์มีส่วนกระตุ้นน้ำย่อยให้ทำงานดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอะไมเลส(amylase) และรักษาความเป็นกรด-ด่างของน้ำย่อยและเป็นส่วนประกอบในน้ำย่อยด้วย
ปริมาณของคลอไรด์ในเลือดกุ้งทะเลจะเท่ากับในน้ำทะเลหรือใกล้เคียงกัน

แมกนีเซียม (Magnesium)
แมกนีเซียม มีความสำคัญต่อกุ้งทะเลในแง่เป็นตัวที่ช่วยปรับสมดุลเกลือแร่ภายในร่างกาย ความต่างศักย์ของเนื้อเยื่อ การสร้างเปลือก และการทำงานของเอนไซม์หลายชนิด เป็นแร่ธาตุที่พบปริมาณสูงในน้ำทะเล (1,350 mg/l)

แร่ธาตุรอง (Micro Mineral)
ทองแดง (Copper)

เนื่องจากทองแดงมีปริมาณต่ำมากในน้ำทะเล จึงทำให้กุ้งได้รับไม่เพียงพอต่อความต้องการต่อขบวนการทางสรีระเคมี เพื่อก่อให้เกิดการเจริญเติบโตสูงสุด การสร้างเนื้อเยื่อจากการสะสมแร่ธาตุ อีกทั้งกุ้งต้องใช้ทองแดงเพื่อเป็นองค์ประกอบของเลือด เพื่อลำเลียงออกซิเจน การเจริญเติบโตของกุ้งขาวแวนนาไมจะลดลงหากมีปริมาณทองแดงต่ำกว่า 34 มิลลิกรัม/กิโลกรัมอาหาร จึงควรมีทองแดงในอาหารกุ้งประมาณ 34-53 มิลลิกรัม/กิโลกรัม

เหล็ก (Iron)
ธาตุเหล็กมีความสำคัญต่อกุ้งเช่นกัน อาการขาดในกุ้งไม่ค่อยพบมากนักในกุ้ง หากมีมากเกินไปจะมีผลเสียทำให้การเจริญเติบโตลดลง
ไอโอดีนและแมงกานีส (Iodine and Manganese)
โดยทั่วไปแล้วไม่ค่อยได้ทำการประเมินถึงความจำเป็นของไอโอดีนต่อสรีรวิทยาของกุ้ง การเสริมปริมาณไอโอดีน 1 มิลลิกรัม/กิโลกรัมในอาหารจึงน่าที่จะเพียงพอที่ไม่ทำให้กุ้งมีอาหารขาด ขณะที่ปริมาณแมงกานีสในน้ำทะเลมีค่าต่ำมาก (0.01 mg/l) อีกทั้งขบวนการนำแมงกานีสไปใช้ประโยชน์ในร่างกายยังถูกยับยั้งด้วยphytic acid การเสริมในอาหารจึงเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณา อาการขาดแมงกานีสจะทำให้โตช้า การพัฒนาของเปลือกผิดปกติ ลูกวัยอ่อนตายสูง และอัตราการฟักจะต่ำ ควรเสริมแมงกานีสในอาหารประมาณ 4-20 มิลลิลิตร/กก
ซิลีเนียม (Selenium)
ซิลีเนียมเป็นธาตุที่ช่วยป้องกันเซลล์จากการทำลายของ peroxidase อาการขาดซิลีเนียมคือทำให้การพัฒนาของเปลือกผิดปกติ พบว่ากุ้งขาว juvenile P. vannamei จะโตดีที่สุดหากมีการเสริมซิลีเนียมลงไป 0.2-0.4 มิลลิกรัม/กิโลกรัมอาหาร อย่างไรก็ดีในอาหารสำเร็จรูปจะพบว่ามีปริมาณเพียงพอหากใช้ปลาป่นเป็นส่วนประกอบมากกว่า 15% และควรระวังที่ต้องเสริมซิลีเนียมเกินมากๆเนื่องจากมีแนวโน้มเป็นพิษ

สังกะสี (Zinc)
สังกะสีเป็นธาตุที่เป็นองค์ประกอบของเอนไซม์หลายชนิด เช่น alkaline phosphatase เพื่อทำให้ขบวนการสร้างเนื้อเยื่อเป็นไปได้อย่างปกติในกุ้งขาว P. vannamei จึงควรมีสังกะสี 33 มิลลิกรัม/กิโลกรัมในอาหาร
ด้วยเหตุที่เรามีการเลี้ยงกุ้งทะเลแบบปล่อยแน่นมากในบ่อ ซึ่งเป็นเรื่องที่ฝ่าฝืนธรรมชาติพอสมควร จึงเกิดศาสตร์และศิลป์มากมายเพื่อให้การเลี้ยงยังคงอยู่ได้ไม่น้อยไปกว่าการเลี้ยงในสภาวะปกติ
การเพิ่มแร่ธาตุลงในน้ำ อาจจะทำได้บางชนิด แต่มีโอกาสสูญเสียและต้องใช้ในปริมาณมาก อาจไม่คุ้มหรืออาจจะอยู่ในรูปที่กุ้งมีประสิทธิภาพต่ำในการนำไปใช้
แร่ธาตุบางชนิด เช่น ฟอสฟอรัส และ (Cu)ทองแดง ที่ละลายอยู่ในน้ำบ่อกุ้งมีข้อจำกัดในการนำมาใช้ด้วยการดูดซึมจากน้ำโดยตรง ดังนั้นเราต้องเสริม ฟอสฟอรัส และ ทองแดง ลงในอาหารจึงน่าที่จะแก้ปัญหาได้ อีกทั้งทองแดง มีอยู่ในน้ำในปริมาณที่ต่ำมากจึงก่อให้เกิดปัญหาต่อกุ้งในสภาพเลี้ยงที่หนาแน่นและความเค็มน้ำต่ำ เนื่องจากทราบกันดีแล้วว่า Cu หรือทองแดง เป็นองค์ประกอบของฮีโมไซยานินhaemocyanin ที่ทำหน้าที่ในการลำเลียงออกซิเจนO2 และที่สภาวะดังกล่าวกุ้งต้องมีการใช้พลังงานมาก การใช้ออกซิเจน ก็ย่อมมากตามไปด้วย การนำออกซิเจนมาใช้ได้มากจึงขึ้นอยู่กับ Cuหรือ ทองแดงเป็นปัจจัยสำคัญ(กุ้งขาวเป็นกุ้งที่ต้องการออกซิเจนสูงกว่ากุ้งกุลาดำ)
แร่ธาตุบางชนิด เช่น แมงกานีส (Mn) ละลายอยู่ในน้ำต่ำมาก กุ้งได้รับไม่เพียงพอจากการดูดซึมจากน้ำโดยตรง การเสริม แมงกานีส(Mn )ลงในอาหารจึงน่าที่จะแก้ปัญหาได้

คำแนะนำสำหรับเกษตรกรไทย(เอกอนันต์ ยุวเบญจพล)
" หากต้องการเพิ่ม แมกนีเซียม ในน้ำ แนะนำให้ใช้ แมกนีเซียมคลอไรด์ จะได้ประโยชน์มากกว่า แมกนีเซียมซัลเฟต(ดีเกลือ)
" หากต้องการเพิ่ม แคลเซียม ในน้ำ สามารถเลือกใช้ปูนขาว(แคลเซียมคาร์บอเนต)ได้ หรือ แคลเซียมซัลเฟต(ยิบซั่ม)
" การใส่แร่ธาตุในน้ำ ที่ถูกต้องคือ ต้องค่อยๆใส่ อย่าเน้นใส่ในปริมาณมากในครั้งเดียว เนื่องจากกุ้งเองก็ต้องปรับตัว ถ้าใส่มากๆกุ้งก็จะเสียสมดุลเช่นกัน ตัวอย่างที่เห็นได้คือ การใส่แร่ธาตุแมกนีเซียมในบ่อกุ้งของเกษตรกรต้องทยอยใส่ อย่าใส่เพียงแค่วันพระหรือวันโกนในปริมาณมากครั้งเดียวจบเป็นต้น
" กุ้งขาวในบ่อหากเราสามารถรักษาระดับพีเอชของน้ำไม่ให้เปลี่ยนแปลงมากในรอบวัน กุ้งขาวก็จะไม่เครียด เพราะร่างกายกุ้งไม่ต้องพยายามในการปรับค่าพีเอชของเลือดในตัวนั่นเอง การเลี้ยงกุ้งก็จะง่ายขึ้น
" สำหรับเรื่องของ ทองแดง หรือ คอปเปอร์(copper) ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นมากสำหรับเลือดกุ้ง แต่อันนี้เป็นหน้าที่ของบริษัทอาหารสัตว์ที่ขอแนะให้ทางฝ่ายสูตรได้ใส่ไปในอาหารกุ้งขาวด้วย.
" ส่วนฟอสฟอรัส เป็นแร่ธาตุที่ผสมในอาหารจะเหมาะสมกว่า เพราะกุ้งขาวมีข้อจำกัดในการดูดซึมมาจากน้ำ
-หากเกษตรกรพบว่ากุ้งมีอาการเป็นตะคริวง่าย สามารถลดปัญหาโดยใส่ โปตัสเซียมเพิ่มในน้ำ ซึ่งขอแนะให้ใส่ปุ๋ย สูตร 0-0-50
ในปริมาณน้อยๆไม่ต้องมาก เช่น ใส่ 2-5 กิโลกรัมต่อไร่ ในวันที่พบกุ้งมีอาการ และ ให้สังเกตวันถัดไปว่ายังมีกุ้งที่มีอาการเป็นตะคริวอีกหรือไม่ ถ้ามีก็ให้ใส่อีก สามารถเติมได้ทุกวันเพราะเราใส่ไม่มาก เกษตรกรควรหยุดใส่เมื่อพบว่ากุ้งในบ่อเป็นปกติแล้ว (มีข้อมูลงานทดลองจากต่างประเทศ (WASที่เท็กซัส)สรุปว่าการให้โปตัสเซียมผสมในอาหารกับกุ้ง ได้ผลน้อยกว่าการใส่ลงในน้ำโดยตรง)
-โปแตสเซียมกุ้งจะรักษาระดับโปแตสเซี่ยมให้เท่ากับปริมาณของโปแตสเซี่ยมที่ละลายอยู่ในน้ำทะเล
-แคลเซียม จะถูกสะสมไว้ตามเนื้อเยื่อและเปลือกส่วนที่เกินความต้องการจะถูกขับถ่ายออกมา
-โซเดียม โปแตสเซียม และ คลอไรด์ จะถูกควบคุมโดยเหงือก แร่ธาตุเหล่านี้จะช่วยให้กุ้งขาวทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อม
-กุ้งจะใช้แมกนีเซียมได้อย่างมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อมีสัดส่วนที่สมดุลกับแคลเซียม คือ อัตราส่วน แมกนีเซียม 3 ส่วน ต่อแคลเซียม 1 ส่วน
อย่าแปลกใจที่การเลี้ยงกุ้งปัจจุบัน ดูเหมือนจะเลี้ยงยากขึ้นทุกทีๆ ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากแร่ธาตุต่างๆที่เราละเลยและมีไม่เพียงพอกับความต้องการของกุ้งที่ปล่อยลงบ่อเลี้ยง หากเกษตรกรปรับตัวทันรู้จักเพิ่ม-เติมแร่ธาตุต่างๆในส่วนที่เหมาะสม ปล่อยกุ้งไม่หนาแน่นเกินศักยภาพของบ่อผลการเลี้ยงกุ้งก็มีจะปัญหาน้อยลง และมีคำถามทิ้งไว้หน่อยว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะปล่อยกุ้งในอัตราที่พอเหมาะกับพื้นที่ของตัวเอง

นำเสนอขึ้นสู่เวบไซต์ โดย www.shrimpcenter.com
เอกอนันต์ ยุวเบญจพล webmaster

วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556

วงจรไนโตรเจน


                                                                     

งานวิจัยแห่งชาติ

                                     

                                       
                                                                                                                                 

เปิดกระป๋องเทลงบ่อ


Pondrefreshing Thailand เปิดกระป๋องเทลงบ่อ ไม่ถึงชั่วโมง. จบหมด. แต่กว่าจะฟื้นกลับมา ไม่รู้เมื่อไหร่. และดีเหมือนเดิมรึเปล่าก็ไม่รู้
·                                      
สุธี ประเสริฐเมฆ ก็ก่อนจะเปิดกระป๋องแล้วเทลงบ่อนะ ก็เค้า....บอกเราว่าดีสารพัดดีนิ (ก็เค้าคนนี้นะเราศรัทธาเขาเต็มร้อยเลยนะ)ไม่่ต้องมีเหตุผลใดๆหรอก ก็คิดว่าเขาทำให้เรารวยได้ง่ายๆนิ(ก็มันเคยเป็นอย่างนั้นมานิ) แต่เอ๋ะทำไมเดี่ยวนี้มันไม่เป็นอย่างที่มันเคยเป็นละ กูรูจะไปรู้เรอะก็กูรูทำเหมือนเดิม(ก๊อปปี้มาเต็มๆ)ทุกอย่างเลย รับรองได้ไม่มีผิดเพื้ยนจากตัวอย่างเดิมๆเลย เช่นกูรูตากบ่อ15วัน กวาดและดูดเลนออกหมดแล้ว ลงปูนเผาไร่ละ....ตัน แล้วเอาน้ำเข้าเต็มบ่อลงยาฆ่าพาหะแล้ว ลงยาฆ่าเชื้อแล้ว ลงยาฆ่าหอยแล้ว ลงกากชาฆ่าปลาแล้ว ลงแร่ธาตุนี้แร่ธาตุนั้นแล้ว ลงสีน้ำเทียม ติดตั้งเครื่องตีน้ำไร่ละ...แรงม้า ทั้งบ่อเท่านั้นตัวแล้ว สั่งลงกุ้ง......ตัวต่อไร่แล้ว สาดอาหารแสนละ.....กก. ปรับขึ้นวันละ....กก.ต่อแสนไปทุกวันนะ เช๊คยอเริ่มต้น...กรัมต่อกก.นะ เช๊คเวลาเท่านี้นะ ถ้าหมดเพื่มขึ้นเท่านี้นะ ไอ้ทั้งหมดนี่กูรูก็ทำเหมือนเดิมทุกอย่างแล้ว ทำไมวะ มันถึงเป็นอย่างนี้วะ ทำไมมันไม่เหมือนเดิมที่กูรูเคยได้วะ คำตอบ.............กูรูงงไปหมดแล้ววะ อ้อ.....กูรูรู้แล้วว่าพลาดตรงใหน.....
·                                      
สุธี ประเสริฐเมฆ 1.ลูกกุ้งไม่ดีวะ 2.น้ำไม่ดีวะ 3.อาหารกุ้งไม่ดีวะ 4.ลูกน้องไม่ดีวะ 5.ดินฟ้าอากาศไม่ดีวะ 6. มีดีอยู่อย่างเดียวคือ......ตัวกูรูวะ ถ้างั้นกูรูก็ไม่ต้องแก้ไขอะไรทั้งสิ้นนะ เพราะกูรูไม่ผิดพลาดนิ คนอื่นต่างหากที่ทำให้กูรูพลาดเสียหายหมด อย่างนี้กูรูแก้ง่า...ดูเพิ่มเติม
·                                      
Pondrefreshing Thailand เอคนที่ตัดสินใจ ซื้อกุ้ง ซื้ออาหาร หรือ สั่งลูกน้อง คือใครกันน่ะ

POND REFRESHING SYSTEM

POND REFRESHING SYSTEM
คุณคณิศร ตันเถียร
HISTORY 2529
20 บ่อ
250 ไร่
บ่อดิน
ไม่มี PE
เชือกกั้นนก
เคยใช้ ปัจจุบันไม่ใช้ เคมีสารพัด ฟอร์มาลีน
คลอรีน
ไอโอดีน
บีเคซี
ยาปฎิชีวนะ
ยาฆ่าพาหนะ
เป็นโรค
ตายสามรอบติดๆกัน
ผลผลิตรลดลง
ป้องกันทุกอย่างก็เอาไมอยู่ กันนก
ฆ่าพาหนะ
ลูกกุ้งเช็คเอากล้องไปเช็คที่โรงเพาะเลย
การใช้ยาและสารเคมีต่างๆไม่สามารถแก้ปัญหาได้
คุณสุธี ประเสริฐเมฆ
หนังสือbottom soil,sediment and pond aquaculture
มีปลาโลมา ปลาพะยูนแทนหอยเจดีย์หักแต่เดิม
มูลใส้เดือน สีน้ำนิ่ง Ph ดี ค่า Alkalineดี ไม่ต้องเติมปูนใดๆ
7วันปล่อยลูกกุ้งแทน20วัน
ไม่ต้องให้อาหารเบอร์1
ดินร่วนซุย ของเสียในดินย่อยสลายได้ดี ออกซิเจนลงในดิรได้ง่าย กรดฟูมิก และกรดฮิวมิค ลดพิษโลหะพิษและฤทธ์ยาฆ่าหาพนะ
ทำให้ลงลูกกุ้งได้รวดเร็ว
มีแร่ธาตุหลักและแร่ธาคุรองในรูปอินทรีย์กุ้งสามารถดูดซึมไปใช้ได้รวดเร็วไม่ต้องเสริมแร่ธาตุ
การเตรียมบ่อ คราดไฟฟ้า120บาทต่อบ่อ
เวลาเตรียมบ่อ 40 วัน
เลน เอามาใช้เป็นอาหารกุ้ง
เครื่องมือหนัก ทำให้ของเสียฝังลึก บ่อแน่น ดินขาดอากาส ดินตาย
หลักคิด SIMPLE
SHORT
SAVE
ขั้นตอนการเตรียมบ่อ 1 หลังจับกุ้งให้เอาน้ำใส้เดือน100ลิตรต่อบ่อ4ไร่ทิ้งบ่อ3/4อาทิตย์
2 เอาน้ำเข้าบ่อหนึ่งในสาม
3 สาดจุลินทรียืบำบัด ไถคราด จนดินไม่ดำ ค่า Ph ต้องมากกว่า6.5ไม่เกิน7
ทำทีละส่วนๆจนครบ
3 vibrio count ถ้าทำได้ จนเหลือน้อย ไถคราดจนปลอดภัย
4 ตีน้ำให้ออกซิเจน
5 ตีน้ำเต็มที่ลงกากชา จะเห็นแมลงวางไข่เยอะมาก
6 หมักรำละเอียด30กกพร้อมจุลินทรีย์ย่อยคาร์บอน150ccoน้ำในบ่อ300ลิตรหมัก20ชมคนถังหมักทุกชม
สาดรำหมักลงบ่อพร้อมมูลใส้เดือน25กกต่อไร่เปิดอากาศเต็มที่ วันที่สองปิดหกโมงถึงสองทุ่มเปิดไฟล่อแมลงวางไข่มากๆ
7 ใช้เรือลากโซ่ ลากทั่วบ่อทุกวันวันละ1ชม หยุดลากก่อนลงกุ้ง1-2วันเป็นการกำจัดหอย ตัวอ่อนตายเป็นอาหารลูกกุ้ง
8 หลังจากน้ำเข้าบ่อ ให้ปล่อยลูกกุ้งภายใน7-10วันเพื่อป้องกันศัตรูกินกุ้ง
การเตรียมวิธีนี้จะทำให้กุ้งมีอัตรารอดดีแข็งแรงเพราะมีภูมิคุ้มกันจากสัตว์ต่างๆที่กินเข้าไป
และเป็นการทำลายพิษตกค้างจากเคมีที่เคยใช้
ข้อควรระวัง 1 อย่าใช้ผานไถบ่อ ลึกแค่5ซมก็พอ ของเสียอยู่ล่างจะขึ้นมา ต้องทำหลายรอบการเลี้ยงจึงจะหมด
2 การใส่ปูนทำให้พื้นบ่อแน่นไม่ย่อยสลายของเสีย เมื่อย่อยของเสียแล้ว ค่าPh จะลดลงเองจากอินทรีย์สารที่เน่าน้อยลง
3 ไม่ใช้อาหารเบอร์หนึ่ง กุ้งจะกินอาหารธรรมชาติแทน อาหารเบอร์หนึ่งจะทำให้เพิ่มค่าBODมีของเสีย เป็นโรคได้
ปัญหามาจากสิ่งแวดล้อม บำบัดพี้น เปลี่ยนของเสียต่างๆให้กลับมาเป็นอาหารกุ้ง 
พบว่าปัญหาส่วนใหญ่คนเลี้ยงกุ้งเป็นผู้สร้างขึ้นเอง ทำให้ดินป่วย น้ำป่วย
แล้วกุ้งก็ป่วยตาม
ถ้าเจอปัญหาก็จะลดอาหารทันที หรือไม่ให้เลย แล้วค่อยหาวิธีแก้ไขอื่น 
เช่นเพิ่มจุลินทรีย์ในบ่อบำบัดน้ำเสีย เป็นต้นหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี

การจัดการเลี้ยงกุ้งด้วยระบบไบโอไดนามิคซ์


การจัดการเลี้ยงกุ้งด้วยระบบไบโอไดนามิคซ์ เลี้ยงกุ้งอย่างไร....ไม่ตายก่อนเวลา.....ตัวโต.....ต้นทุนต่ำ......ยั่งยืน
โดย คนเลี้ยงกุ้ง อินทรีย์ เมื่อ 20 สิงหาคม 2012 เวลา 3:01 น. ·
ผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์เอนไซม์ MICROTACK ในการจัดการเลี้ยงกุ้งระบบชีวภาพมีทั้งหมด 4 ชนิด คือ
  1. BACTIPOST PULS (BPP) แบคทีโพสต์พลัส(ฝาแดง)
  2. BACTIPOST (BP) แบคทีโพสต์(ฝาเขียว)
  3. PROGEST (PG) โปรเจส(ฝาเหลือง)
  4. ENGEST (EG) เอนเจส(ฝาขาว) 
    รายละเอียดการใช้ผลิตภัณฑ์ในการจัดการเลี้ยงกุ้งระบบชีวภาพมีดังต่อไปนี้ 
  1.      BACTIPOST PULS (BPP) แบคทีโพสต์พลัส(ฝาแดง) เป็นผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์เอนไซม์น้ำชนิดเข้มข้นที่สุด ของผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในธุรกิจการเพาะเลี้ยงกุ้ง ใช้ในการบำบัดสารอินทรีย์ที่พื้นดินบ่อเลี้ยงกุ้ง ที่เกิดจากการตกค้างหมักหมมของเสียต่างๆ อันเกิดจากเลนขี้กุ้ง,ซากแพลงค์ตอนพืชและสัตว์,เศษอาหารคงเหลือจากการเลี้ยง ที่ก่อให้เกิดก๊าซพิษและเชื้อโรคร้ายต่างๆ  เป็นอันตรายต่อกุ้งที่เลี้ยงได้ง่าย ขนาดบรรจุภัณฑ์ขวดละ 160 กรัม ราคาขวดละ 1,600 บาท ให้ประสิทธิภาพในการบำบัดพื้นดังต่อไปนี้
§                                 ช่วยยับยั้งและลดปริมาณแบคทีเรียร้ายให้โทษในดิน
§                                 ช่วยย่อยสลายของเสียที่ตกค้างในพื้นบ่อ
§                                 ช่วยกำจัดแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรียร้ายให้โทษและก๊าซพิษต่างๆ
§                                 ช่วยกำจัดแอมโมเนีย ไนไตรท์ และก๊าซไข่เน่าในดิน
§                                 ช่วยเพิ่มปริมาณอ๊อกซิเจนในชั้นดิน
§                                 ช่วยปรับสภาพดินที่เสื่อมโทรมให้เหมาะสมต่อการเลี้ยงกุ้ง
§                                 ช่วยเพิ่มอัตรารอดของกุ้งให้สูงขึ้น
§                                 ช่วยสร้างเสริมแหล่งอาหารให้กับสัตว์หน้าดิน
§                                 ไม่มีสารตกค้างในตัวกุ้ง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
§                                 วิธีการใช้ การไถคราดบำบัดดินพื้นบ่อก่อนเลี้ยง (ตามขั้นตอนระบบไบโอไดนามิคซ์) มีดังต่อไปนี้
§                                 เริ่มการตรวจสอบค่าpHดิน,ค่าแอมโมเนีย,ค่าการเพาะเชื้อวิบริโอของดิน จากการซุ่มดินกระจายทั่วพื้นบ่อ
§                                 เมื่อได้ค่าของการตรวจสอบดินแล้ว มาพิจารณาถึงสูตรการใช้จุลินทรีย์เอนไซม์แบคทีโพสต์พลัส(ฝาแดง)ดังนี้
§                                 (เพิ่มเติม1)ค่า pH ดิน <6.5-5.0 ใช้แบคทีโพสต์พลัส(ฝาแดง)บำบัดดิน = 160 กรัมต่อไร่
ค่า pH ดิน <5.0-3.0 ใช้แบคทีโพสต์พลัส(ฝาแดง)บำบัดดิน = 240 กรัมต่อไร่
ค่า pH ดิน <๓.0-1.0 ใช้แบคทีโพสต์พลัส(ฝาแดง)บำบัดดิน = 320 กรัมต่อไร่
การบำบัดดินพื้นบ่อที่เหมาะสมต่อการเลี้ยงกุ้งค่า pH ของดินก่อนเลี้ยง >6.7 ค่าแอมโมเนีย<0.05 และค่าของเชื้อวิบริโอชนิดเหลืองต้อง< 5 จุด ส่วนค่าเชื้อวิบริโอชนิดเขียวจะต้องไม่เกิดขึ้นอีกเลย และค่าของดินพื้นบ่อเลี้ยงจะต้องมีค่า ...pH> 6.7 แล้ว น้ำนั้นจะใสไม่มีตะกอนเหมือนการทรีตด้วยคลอรีน แต่สาหร่ายจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เพราะที่ดินพื้นบ่อจะไม่เหลืออาหารของสาหร่ายอีกเลย และจะเริ่มเกิดสีน้ำเป็นสีชาจีนเข้มอมเขียวอ่อนๆ อันเกิดขึ้นจากกลุ่มแพลงค์ตอนชนิดที่ดีๆเป็นประโยชน์ด้านอาหารตามธรรมชาติเช่น คลอเรลลา สไปรูไลนา สเกลโตนีมา คีโตเซอรอส โคพีพอด โรติเฟอร์ นอเพลียส หนอนแดง ไส้เดือนทะเล ลูกน้ำ และกลุ่มเบนโทสต่างๆอีกมากมาย ที่สามารถเกิดขึ้นได้เองจากการบำบัดดินพื้นบ่อเลี้ยงให้หมดพิษภัยนี้ มีผลดีทางคุณค่าอาหารธรรมชาติ เหมาะสมต่อลูกกุ้งที่เรานำมาลงใหม่ ที่จะส่งให้ลูกกุ้งที่ลงใหม่นี้มีอัตราการรอดสูงมากจาก(ภาวะสิ่งแวดล้อมภายในบ่อดีไม่ตายก่อนเวลาแน่นอน) ลูกกุ้งมีภูมิคุ้มกันสูงส่งผลให้การเจริญเติบโตดีมาจาก (โภชนาการด้านอาหารธรรมชาติดี ตัวโตแน่นอน) แทบจะไม่ต้องให้อาหารเม็ดเบอร์เล็กๆนั้นเลยในช่วงเดือนแรกๆของการเลี้ยง ทำให้พื้นบ่อสอาดไม่เน่าเสียจากการเหลือของเศษอาหารเม็ดเล็กๆได้ดีส่งผล(ต้นทุนการเลี้ยงต่ำลงได้โดยกระทบการเจริญเติบโตของกุ้งแน่นอน) แต่อาหารธรรมชาตินี้จะมีมากหรือน้อยย่อมขึ้นอยู่กับเวลาการเตรียมพื้นบ่อเป็นสำคัญ เพราะสิ่งมีชีวิตที่เกิดใหม่นี้จะต้องใช้เวลาในการเจริญเติบโตและการสะสมปริมาณอีกส่วนหนึ่งด้วยครับ
§                                 (แก่ไข้เพิ่มเติมข้อมูลที่หายไปดูได้ที่การแสดงความคิดเห็น "เพิ่มเติม1และ2)
§                                 ข้อต้องห้ามของผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์เอนไซม์แบคทีโพสต์พลัส(ฝาแดง) คือ ห้ามใช้ในขณะที่มีการลงกุ้งอยู่ในบ่อเลี้ยงแล้วโดยเด็ดขาด และจะลงกุ้งได้หลังการใช้ผลิตภัณฑ์ผ่านไปแล้ว 48 ช.ม.เท่านั้น

2.      BACTIPOST(BP) แบคทีโพสต์(ฝาเขียว) เป็นผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์เอนไซม์น้ำชนิดเข้มข้น ของผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในธุรกิจการเพาะเลี้ยงกุ้ง ใช้ในการย่อยสลายสารอินทรีย์ในส่วนโครงสร้างของคาร์บอนไฟเบอร์ ที่เกิดมีเหลือมากขึ้นจนเกินสมดุลย์ในบ่อ กระทบต่อระบบการเลี้ยงกุ้งที่เหมาะสมดี ขนาดบรรจุภัณฑ์ขวดละ 150 กรัม ราคาขวดละ 1,000 บาท ปริมาณการใช้ผลิตภัณฑ์ 15-20 กรัมต่อไร่ ละลายน้ำสาดสดๆทั่วบ่อใช้ในเวลากลางคืนช่วงเวลา 22.00-23.00 น. เป็นผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์เอนไซม์ที่ไม่ใช้อ๊อกซิเจน ให้ประสิทธิภาพในการใช้ดังต่อไปนี้
§                                 กำจัดแอมโมเนีย ไนไตรท์ ก๊าซไข่เน่า ที่เป็นพิษในบ่อ
§                                 เพิ่มอ๊อกซิเจนในน้ำตอนกลางคืน
§                                 ช่วยเพิ่มอนินทรีย์สาร(แร่ธาตุ)ในน้ำมากขึ้น
§                                 ช่วยควบคุมคุณภาพน้ำ ให้ค่าพีเอช เช้าสูงขึ้น และบ่ายชิดขึ้น
§                                 ช่วยควบคุมวัฏจักรของไนโตรเจนภายในบ่อระหว่างการเลี้ยงให้สมดุลย์
§                                 ช่วยย่อยสลายซากแพลงค์ตอนพืช
§                                 ช่วยย่อยสลายตะกอนพิษที่ทำลายเหงือกกุ้ง
§                                 ช่วยลดปัญหากลุ่มแพลงค์ตอนเรืองแสงที่เป็นพิษ
§                                 ช่วยลดการเกิดซูโอแทมเนียม
§                                 สร้างเสริมแหล่งอาหารให้กับสัตว์หน้าดิน
§                                 ไม่มีสารตกค้างในตัวกุ้ง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 
3.     PROGEST(PG) โปรเจส(ฝาเหลือง) เป็นผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์เอนไซม์น้ำชนิดเข้มข้น ของผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในธุรกิจการเพาะเลี้ยงกุ้ง ใช้ในการย่อยสลายสารอินทรีย์ในส่วนโครงสร้างของโปรตีน ที่เกิดมีเหลือมากขึ้นจนเกินสมดุลย์ในบ่อ กระทบต่อระบบการเลี้ยงกุ้งที่เหมาะสมดี ขนาดบรรจุภัณฑ์ขวดละ 150 กรัม ราคาขวดละ 1,000 บาท ปริมาณการใช้ผลิตภัณฑ์ 3-5 กรัมต่อไร่ ละลายน้ำสาดสดๆทั่วบ่อใช้ได้ในเวลากลางวันเท่านั้น ใช้ช่วงเวลา 8.00-10.00 น. ผลิตภัณฑ์ให้ประสิทธิภาพในการใช้ดังต่อไปนี้
§                                 ช่วยลดความหนืดและตะกอนแขวนลอยในน้ำ
§                                 ช่วยย่อยสลายตะกอนพิษที่ทำลายเหงือกกุ้ง
§                                 ช่วยย่อยสลายขี้แดดและขี้เลนในบ่อระหว่างเลี้ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
§                                 ช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียเรืองแสงที่ก่อให้เกิดโทษ
§                                 ช่วยควบคุมคุณภาพน้ำให้มีความโปร่งใส
§                                 ช่วยเพิ่มค่าอัลคาร์ไลน์ในน้ำ
§                                 ช่วยสร้างสีน้ำ
§                                 ไม่มีสารตกค้างในตัวกุ้ง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
4.      ENGEST(EN) เอนเจส(ฝาขาว) เป็นผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์โปรไบโอติคน้ำชนิดเข้มข้น ของผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในธุรกิจการเพาะเลี้ยงกุ้ง ใช้เพื่อการเสริมคุณภาพอาหารกุ้ง ช่วยส่งผลต่อระบบการเจริญเติบโตของกุ้งให้ มีอัตราการแลกเนื้อที่เหมาะสมดี ขนาดบรรจุภัณฑ์ขวดละ 1,000 กรัม ราคาขวดละ 1,500 บาท ปริมาณการใช้ผลิตภัณฑ์ 20 กรัมต่อไร่ ละลายน้ำสาดสดๆทั่วบ่อใช้ในเวลากลางวันเท่านั้น ช่วงเวลา 8.00-10.00 น. ผลิตภัณฑ์ให้ประสิทธิภาพในการใช้ดังต่อไปนี้
§                                 ช่วยแก้ไขปัญหาขี้ขาวของกุ้ง
§                                 ช่วยยับยั้งแบคทีเรียเรืองแสงในระบบทางเดินอาหารของกุ้ง
§                                 ช่วยเสริมกิจกรรมของระบบการย่อยอาหารของกุ้ง
§                                 ช่วยให้กุ้งสามารถดูดซึมธาตุอาหารได้มากยิ่งขึ้น
§                                 ช่วยเสริมคุณภาพอาหารให้ได้ประโยชน์สูงสุด
§                                 ช่วยลดการทำงานของระบบการย่อยอาหาร
§                                 ช่วยกระตุ้นการทำงานของภูมิคุ้มกันได้มากขึ้น
§                                 ไม่มีสารตกค้างในตัวกุ้ง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม